
ขนมปังปาเน็ตโทน Panettone
ขนมปังปาเน็ตโทน Panettone ไม่มีอะไรที่แสนสุขใจเกินไปกว่าการได้ทานเมนูเด็ดสุดอร่อย จากสูตรเด็ดและเราทำเอง แอดครูตองซ์มาชวนทำ ขนมปังปาเน็ตโทนขนมปังหวานสไตล์อิตาเลียน ซึ่งแอดครูตองซ์ลองทำมาแล้วอร่อยมากๆเลยค่ะ อยากแชร์สูตรเลย ขนมปังปาเน็ตโทนดัดแปลงมาจาก Italian Academy of Cuisine สูตรนี้ทำปาเน็ตโทนขนาดใหญ่ (3 กก.) ได้ 1 ถาด ขนมปังหวานนุ่มๆ ตัดรสด้วยลูกเกดและผสไม้แห้งชื่นใจ น่าลองทำกินมากคิดดูสิ ไปลองทำกันเลยค่ะ ของอร่อยอดใจไม่ไหวแล้ว แค่คิดก็อยากกินแล้ว มาทำขนมปังปาเน็ตโทนกันค่ะ อร่อยเด็ดแสงออกปาด มาค่ะดาวน์โหลดสูตร มือขวาควงตะหลิว มือซ้ายจับกระทะ สาวเท้าก้าวเข้าครัวไปกับเมนูขนมปังปาเน็ตโทนกันเลยค่ะ
[bws_pdfprint display=’pdf’]
สูตรขนมปังปาเน็ตโทน |
แป้งขาว 1350 กรัม |
เนย 450 กรัม |
น้ำตาล 350 กรัม |
นม 2-3 ช้อนโต๊ะ |
sultanas 200 กรัม |
แป้งซาวโดว์สตาร์ทเตอร์ 250 กรัม |
ส้มหวานและซีดาร์ 50 กรัม |
10-12 ไข่แดง |
ไข่ 3 ฟอง |
เกลือ |
วิธีทำขนมปังปาเน็ตโทน |
ขั้นแรก เตรียมสตาร์ทเตอร์ นวดแป้งให้ได้ที่ และห่อด้วยผ้าชุบแป้งแล้วทิ้งไว้ในที่อบอุ่นและแห้ง พักแป้งเป็นเวลาสองชั่วโมงหรือจนกว่าแป้งจะขึ้นเป็นสองเท่า |
วางแป้ง 150 กรัมลงบนโต๊ะพื้นผิวเรียบ แล้วเติมแป้งซาวโดว์ที่เพื่อนๆได้บี้เป็นชิ้นๆ พร้อมกับน้ำอุ่น นวดจนแป้งเนียน แล้วปั้นเป็นก้อนกลมเล็กๆ วางแป้งโดลงในชาม คลุมด้วยผ้า แล้วทิ้งไว้ให้แห้งและอุ่นเป็นเวลาสามชั่วโมง |
จากนั้นนำแป้งมาคลุกแป้ง 200 กรัมกับนมสองสามช้อนโต๊ะ ปั้นเป็นลูกกลมแล้ววางลงในชามที่มีฝาปิด ให้พิสูจน์เป็นเวลาสองชั่วโมง |
สับผลไม้แห้งแล้วบดลูกเกดในน้ำอุ่นเป็นเวลา 15 นาที จากนั้นเช็ดให้แห้ง ละลายเนย 300 กรัมในกระทะขนาดเล็ก จากนั้นทำน้ำเชื่อมจากน้ำตาลและน้ำร้อน ใส่ไข่และไข่แดงลงในน้ำเชื่อม จากนั้นปรุงส่วนผสมใน bain marie จนร้อน |
ผสมแป้งที่เหลือ เกลือ เนยละลาย ส่วนผสมของไข่และน้ำเชื่อม และแป้งที่หมักไว้ แล้วนวดแรงๆ เป็นเวลา 20 นาที จนได้แป้งที่เนียนและยืดหยุ่น สุดท้าย รวมสุลต่านและผลไม้แห้ง |
หากเพื่อนๆกำลังใช้เตาอบที่บ้าน ให้แบ่งแป้งออกเป็นสามก้อน ใช้มือปัดเป็นวงกลม แล้ววางลงบนกระดาษรองอบที่ทาไขมันและทาแป้งไว้ ใช้มีดทำกากบาทด้านบนแล้วปล่อยให้ก้อนพิสูจน์จนเพิ่มเป็นสองเท่า |
เมื่อปริมาตรมากกว่าสองเท่า ให้วางขนมปังในเตาอบที่อุณหภูมิ 200-220 องศาเซลเซียสเพื่ออบ หลังจากผ่านไปห้านาที เทเนยที่เหลือลงบนกากบาทที่ด้านบน จากนั้นลดอุณหภูมิลงเป็น 180°C แล้วอบต่อจนสุก ทานให้อร่อยนะคะ |
[bws_pdfprint display=’pdf’]

ขอขอบคุณข้อมูล – https://www.tasteatlas.com/panettone/recipe
ประวัติขนมปังปาเน็ตโทน
เมื่อเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะเมืองมิลานเท่านั้น วันนี้ panettone เป็นเค้กที่เตรียมทั่วประเทศอิตาลีโดยเฉพาะสำหรับเทศกาลคริสต์มาส ชื่อนี้แปลว่า เค้กก้อนใหญ่ ในขณะที่ตามภาษามิลาน pan del ton หมายถึง เค้กแห่งความหรูหรา ตำนานมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมันมีอยู่ในปัจจุบัน ที่มีชื่อเสียงที่สุดน่าจะมาจากศตวรรษที่ 15 ของขุนนางเหยี่ยว Ughetto Atellani ผู้ซึ่งติดใจกับ Adalgisa ลูกสาวของ Toni คนทำขนมปังผู้น่าสงสาร เนื่องจากโอกาสของการแต่งงานของพวกเขาดูเยือกเย็นเพราะชนชั้นล่างของ Adalgisa Atellani จึงตัดสินใจช่วยพ่อของเธอปรับปรุงสถานะของเขา ด้วยการประดิษฐ์เค้กแสนอร่อยที่ประกอบด้วยแป้งยีสต์ที่ใส่ผลไม้แห้ง ผลไม้หวาน และเปลือก เขาช่วยให้พ่อของเธอเพิ่มยอดขายและด้วยเหตุนี้ความมั่งคั่งของเขาจึงช่วยให้ทั้งคู่ได้รับการอนุมัติให้แต่งงาน อีกตำนานหนึ่งเล่าว่าปาเน็ตโทนเป็นสิ่งประดิษฐ์ของเด็กชายผู้คลั่งไคล้ที่ชื่อโทนี่ จึงเป็นที่มาของชื่อ Pan de Toni (แปลว่า เค้กของโทนี่) อย่างไรก็ตาม เอกสารที่มาของเค้กมาจากยุคกลางเมื่อมีประเพณีในการเตรียมขนมปังเสริมคุณค่าสำหรับคริสต์มาส ตามต้นฉบับในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ของจอร์จ วาลากุสซา ครูสอนพิเศษสำหรับครอบครัวสฟอร์ซา ชาวมิลานเฉลิมฉลองประเพณีที่เรียกว่า rito del ciocco ซึ่งในวันคริสต์มาสอีฟ หัวหน้าครอบครัวจะวางขนาดใหญ่ ท่อนไม้ในเตาผิงและเสิร์ฟขนมปังข้าวสาลีสามชิ้นบนโต๊ะ เนื่องจากข้าวสาลีมีราคาแพงในขณะนั้น ยิ่งกว่านั้น จนถึงปี 1395 เฉพาะร้านเบเกอรี่ Rosti ซึ่งจัดหาครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดของมิลานเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำขนมปังข้าวสาลีคริสต์มาสได้ตลอดทั้งปี ในขณะที่ร้านเบเกอรี่อื่นๆ ทั้งหมดได้รับอนุญาตให้อบเฉพาะช่วงคริสต์มาสเท่านั้นและไม่ได้ขายแต่ให้เป็น ของขวัญ. ในศตวรรษต่อมา ขนมปังข้าวสาลีคริสต์มาสเริ่มกลายเป็นสิ่งที่เรารู้จักในปัจจุบันว่าเป็นปาเน็ตโทนมากขึ้นเรื่อยๆ ในปีพ.ศ. 2462 แองเจโล มอตตาเริ่มผลิตปาเน็ตโทนทรงสูง และจิโออาคคิโน อาเลมักญาก็เริ่มผลิตปาเน็ตโทนแต่หลังจากสูตรอันประณีตของเขาในปี พ.ศ. 2468 ชายทั้งสองแข่งขันกันเองซึ่งส่งผลให้ไม่เพียงแต่ในอุตสาหกรรมการผลิตเค้กเท่านั้น แต่ยังลดระดับลงด้วย ราคาของขนมปังหวานที่ราคาถูกจนหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นขนมคริสต์มาสที่ชาวอิตาลีหลายคนเลือก ต่อมาผู้อพยพชาวอิตาลีได้แพร่กระจายปาเน็ตโทนไปยังส่วนอื่นๆ ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในละตินอเมริกาและออสเตรเลีย
วัตถุดิบขนมปังปาเน็ตโทน |
butter |
เนย (Butter) เป็นไขมันสัตว์ที่ถูกนำไปผ่านกระบวนการแยกออกมาจากน้ำนมหรือครีม ส่วนใหญ่จะใช้น้ำนมจากสัตว์ เช่น วัว ควาย แพะ หรือแกะ กระบวนการผลิตเนย เริ่มจากการนำน้ำนมไปเข้าเครื่องจักรเพื่อปั่นหรือเหวี่ยงด้วยความเร็วสูง เมื่อเหวี่ยงจนได้ที่จะได้วัตถุดิบออกมา 2 ชนิด คือ บัตเตอร์มิลค์ เป็นส่วนของน้ำสีขาวขุ่น และเนย เป็นส่วนของก้อนไขมันสีเหลืองๆ ซึ่งก็คือเนยแท้ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘เนยสด’ นั่นเอง |
sugar |
น้ำตาล (Sugar) คือ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตประเภทโมโนแซ็กคาไรด์ (monosaccharide) และไดแซ็กคาไรด์ (disaccharide) ซึ่งมีรสหวาน โดยทั่วไปจะได้มากจากอ้อย มะพร้าว แต่โดยทั่วไปแล้วจะเรียกอาหารที่มีรสหวานว่าน้ำตาลแทบทั้งสิ้น เช่น ทำมาจากตาลจะเรียกว่าตาลโตนด ทำมาจากมะพร้าวจะเรียกว่าน้ำตาลมะพร้าว ทำมาจากงวงจากจะเรียกว่าน้ำตาลจาก ทำมาจากงบจะเรียกว่าน้ำตาลงบ ทำมาจากอ้อยแต่ยังไม่ได้ทำเป็นน้ำตาลทรายจะเรียกว่าน้ำตาลทรายดิบ ถ้านำมาทำเป็นเม็ดจะเรียกว่าน้ำตาลทราย หรือถ้านำมาทำเป็นก้อนแข็งคล้ายกรวดจะเรียกว่าน้ำตาลกรวด ฯลฯ |
milk |
นม หรือ น้ำนม (Milk) คือ ของเหลวสีขาวที่มีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กหรือสัตว์เกิดใหม่ ที่ผลิตออกมาจากเต้านมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อาทิเช่น มนุษย์ วัว แพะ แกะ ควาย ม้า ลา อูฐ จามรี เรีนเดียร์ ลามา แมวน้ำ และยังรวมไปถึงเครื่องดื่มที่ใช้แทนนมด้วย เช่น นมถั่วเหลือง น้ำนมข้าว นมข้าวโพด นมแอลมอนด์เป็นต้น |
eggs |
ไข่ (Eggs) เป็นหนึ่งในอาหารโปรตีนสูง ใน 1 ฟองจะมีโปรตีน 6 กรัม จึงถือเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งผู้ที่ต้องการมีกล้ามเนื้อทั้งหลายต่างเลือกรับประทาน เพราะเชื่อว่าจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ดี เนื่องจากโปรตีนมีส่วนช่วยในการเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย เนื่องจากในไข่มีสารโคลีน (Choline) มากถึง 20% เป็นปริมาณที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน ที่เมื่อไปรวมกับกรดไขมันฟอสโฟลิพิด (Phospholipid) จะเกิดเป็นสารเลซิทิน (Lecithin) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมอง จึงเชื่อกันว่าไข่อาจช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมอง และช่วยให้ระบบประสาทแข็งแรงได้ |
salt |
เกลือ (Salt) หรือเกลือโซเดียมนั้นมีแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็อาจส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ดังนี้ ป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำ,ป้องกันภาวะขาดน้ำ และป้องกันการขาดไอโอดีน แต่ต้องรับประทานในขนาดที่เหมาะสมต่อวันมิเช่นนั้นจะเดิดโทษต่อร่างกาย มากกว่าได้ประโยชน์ |


Post Views: 621