ขนมปังมิเชตต้า Michetta ขนมปังมิเชตต้า Michetta
สูตรขนมปังมิเชตต้า
– แป้งโดว์ส่วนที่ 1 (บิก้า)
แป้งสาลี 1.5 กิโลกรัม (ก 340-350)
น้ำ 7,5 dl
ยีสต์ 30 กรัม
– แป้งโดว์ส่วนที่ 2
น้ำ 150 กรัม
เกลือ 25 กรัม
มอลต์ผง 10 กรัม
แป้ง 150 กรัม
วิธีทำขนมปังมิเชตต้า
นวดส่วนผสมทั้งหมดสำหรับแป้งก้อนแรกในชามผสมจนเข้ากัน คลุมด้วยผ้าและเก็บชามไว้ที่อุณหภูมิ 12 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 18 ชั่วโมง
ขั้นแรกให้เติมน้ำเพื่อเจือจางแป้ง จากนั้นนวดแป้งที่เหลือ ตามด้วยมอลต์และเกลือ รวมประมาณ 20 นาทีของการนวด
ปิดแป้งและพักไว้ 5 นาที จากนั้นนวด 2-3 ครั้งแล้วพักไว้ 10-15 นาที เมื่อถึงจุดนี้ แป้งควรจะมีอุณหภูมิอยู่ที่ 21-22°C
ปั้นแป้งเป็นม้วนใหญ่แล้วทาเนย
หั่นเป็นชิ้นเท่าๆ กัน แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ กดลงในแป้งแต่ละก้อนด้วยแม่พิมพ์แล้วพักไว้ครึ่งชั่วโมง
ขณะพักแป้ง ให้วางถาดที่ด้านล่างของเตาอบแล้วเติมน้ำ จากนั้นตั้งเตาอบให้อุ่นที่ 250°C
อบมิเชตต์ประมาณ 20 นาทีจนเป็นสีเหลืองทองและค่อนข้างเป็นสีน้ำตาล ทานให้อร่อยนะคะ
VIDEO
ขอขอบคุณข้อมูล – https://www.tasteatlas.com/michetta/recipe
ประวัติขนมปังมิเชตต้า มิเชตตาพัฒนาจากไคเซอร์เซมเมล ขนมปังม้วนกลมเล็กๆ ที่ชาวออสเตรียที่ปกครองแคว้นลอมบาร์เดียมาที่มิลาน ภายหลังสนธิสัญญาอูเทรกต์ในปี ค.ศ. 1713 อย่างไรก็ตาม ความชื้นในมิลานไม่เหมาะสำหรับการผลิตขนมปังดังกล่าว เนื่องจากความสดจะสูญเสียไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นเหนียวหนึบ คนทำขนมปังในเมืองจึงเกิดความคิดที่จะทำขนมปังกลวงข้างในเพื่อช่วยให้มันรักษาเปลือกที่กรอบไว้ได้นานขึ้น พวกเขาเรียกสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขาว่า michetta ซึ่งย่อมาจาก mica ซึ่งหมายถึง crumb ในปี 2550 มิเชตต้าได้รับ De.Co. ได้รับการรับรองจากเทศบาลเมืองมิลานว่าเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองของเมือง
วัตถุดิบขนมปังมิเชตต้า
yeast
ยีสต์ (Yeast) คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถเติบโตได้โดยการย่อยอาหาร และยีสต์คือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) ดังนั้นเมื่อเราอบขนมปังที่มีการใส่ยีสต์เป็นส่วนผสมลงไป ยีสต์จะหมักน้ำตาลในแป้ง และปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา เนื่องจากแป้งมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์จึงไม่สามารถหลบหนีได้ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จึงทำให้เกิดการขยายตัว หรือทำให้แป้งพองตัวมีขนาดขยายใหญ่
salt
เกลือ (Salt) หรือเกลือโซเดียมนั้นมีแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็อาจส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ดังนี้ ป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำ,ป้องกันภาวะขาดน้ำ และป้องกันการขาดไอโอดีน แต่ต้องรับประทานในขนาดที่เหมาะสมต่อวันมิเช่นนั้นจะเดิดโทษต่อร่างกาย มากกว่าได้ประโยชน์
Post Views:
423
