ขนมปังซอพฟ์ Zopf

image_pdfดาวน์โหลดไฟล์ PDF




ขนมปังซอพฟ์

ขนมปังซอพฟ์ Zopf

ขนมปังซอพฟ์ Zopf  จะมีอะไรที่ดีมากไปกว่าการได้กินของอร่อย ที่เราทำเองได้ที่บ้าน แอดมินมาชวนทำ ขนมปังซอพฟ์สไตล์สวิส ซึ่งแอดมินลองทำมาแล้วอร่อยมากๆเลยค่ะ อยากแชร์สูตรเลย สูตรดั้งเดิมสำหรับ Zopf หรือ Züpfe ดัดแปลงมาจาก about.ch ขนมปังสูตรสวิตอันเลื่องชื่อ เหนียวนุ่ม กรอบนอกนุ่มในอย่างเหลือเชื่อลองจินตนาการถึง เมนูนี้อาจเป็นเมนูซิกเนเจอร์ ของเพื่อนๆก็ได้ บรรยายซะเห็นภาพน้ำลายไหล มาทำขนมปังซอพฟ์จัดไปค่ะ อร่อยเด็ดทำให้คนชม มาค่ะดาวน์โหลดสูตร มือขวาควงตะหลิว มือซ้ายจับกระทะ สาวเท้าก้าวเข้าครัวไปกับเมนูขนมปังซอพฟ์กันเลยค่ะ




สูตรขนมปังซอพฟ์
แป้งขาว 1 กิโลกรัม (2.2 ปอนด์)
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
ยีสต์ 20 ถึง 30 กรัม (0.7 ถึง 1 ออนซ์)
น้ำตาล 1 ช้อนชา
เนยหรือมาการีน 125 กรัม (4.4 ออนซ์)
นม 6.5 ถึง 7dl (0.7 ถึง 0.75 quarts)
ไข่ขาว ตีให้ละเอียด



วิธีทำขนมปังซอพฟ์
ในชามผสมผสมแป้งและเกลือแล้วใส่ยีสต์น้ำตาลและนม นวดจนแป้งเนียนแล้วนวดเนย วางแป้งลงในชามที่ทาน้ำมัน คลุมด้วยฟิล์มแล้วเก็บในที่อบอุ่นเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงจนขึ้นเป็นสองเท่า
แบ่งแป้งออกเป็นสี่ชิ้นเท่าๆ กัน ปั้นเป็นก้อน แล้วถักเป็นเปีย วางเปียบนถาดอบที่ปูด้วยกระดาษรองอบ โรยด้วยน้ำแล้วปล่อยให้ขึ้นอีก 30 ถึง 60 นาที
ทาหน้าด้วยไข่แดง จากนั้นวางในส่วนล่างของเตาอบที่อุ่นไว้ที่ 200 ° C แล้วอบประมาณ 45-55 นาที ทานให้อร่อยนะคะ

 





baanbakery banner

ขอขอบคุณข้อมูล – https://www.tasteatlas.com/zopf/recipe

ประวัติขนมปังซอพฟ์

แม้ว่าจะขึ้นชื่อเรื่องช็อกโกแลตและชีสเป็นส่วนใหญ่ แต่สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศแรกและสำคัญที่สุดของขนมปัง โดยมีขนมปังมากกว่า 200 ชนิด Zopf หรือ Züpfe เดิมเป็นเพียงอาหารพิเศษของ Berne ซึ่งกล่าวถึงครั้งแรกในปี 1470 และจนถึงปี 1629 ผลิตขึ้นเฉพาะในการเฉลิมฉลองของ St. Thomas ในวันที่ 21 ธันวาคมและวันขึ้นปีใหม่ อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบว่าขนมปังแพร่กระจายไปทั่วประเทศได้อย่างไรและเมื่อไหร่ แต่บางคนเดาว่ามันอาจเกิดขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้ Zopf ยังผูกติดอยู่กับความเกลียดชังตามที่ผู้หญิงต้องถูกฝังไว้กับสามีเมื่อ สามีเสียชีวิต เมื่อเวลาผ่านไป ผู้หญิงต้องเสียแค่ผมเปีย แต่เมื่อถึงศตวรรษที่ 15 ขนมปังถักก็ถูกนำมาใช้แทน

วัตถุดิบขนมปังซอพฟ์
salt
เกลือ (Salt) หรือเกลือโซเดียมนั้นมีแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็อาจส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ดังนี้ ป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำ,ป้องกันภาวะขาดน้ำ และป้องกันการขาดไอโอดีน แต่ต้องรับประทานในขนาดที่เหมาะสมต่อวันมิเช่นนั้นจะเดิดโทษต่อร่างกาย มากกว่าได้ประโยชน์
yeast
ยีสต์ (Yeast) คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถเติบโตได้โดยการย่อยอาหาร และยีสต์คือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) ดังนั้นเมื่อเราอบขนมปังที่มีการใส่ยีสต์เป็นส่วนผสมลงไป ยีสต์จะหมักน้ำตาลในแป้ง และปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา เนื่องจากแป้งมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์จึงไม่สามารถหลบหนีได้ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จึงทำให้เกิดการขยายตัว หรือทำให้แป้งพองตัวมีขนาดขยายใหญ่
sugar
น้ำตาล (Sugar) คือ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตประเภทโมโนแซ็กคาไรด์ (monosaccharide) และไดแซ็กคาไรด์ (disaccharide) ซึ่งมีรสหวาน โดยทั่วไปจะได้มากจากอ้อย มะพร้าว แต่โดยทั่วไปแล้วจะเรียกอาหารที่มีรสหวานว่าน้ำตาลแทบทั้งสิ้น เช่น ทำมาจากตาลจะเรียกว่าตาลโตนด ทำมาจากมะพร้าวจะเรียกว่าน้ำตาลมะพร้าว ทำมาจากงวงจากจะเรียกว่าน้ำตาลจาก ทำมาจากงบจะเรียกว่าน้ำตาลงบ ทำมาจากอ้อยแต่ยังไม่ได้ทำเป็นน้ำตาลทรายจะเรียกว่าน้ำตาลทรายดิบ ถ้านำมาทำเป็นเม็ดจะเรียกว่าน้ำตาลทราย หรือถ้านำมาทำเป็นก้อนแข็งคล้ายกรวดจะเรียกว่าน้ำตาลกรวด ฯลฯ
butter
เนย (Butter) เป็นไขมันสัตว์ที่ถูกนำไปผ่านกระบวนการแยกออกมาจากน้ำนมหรือครีม ส่วนใหญ่จะใช้น้ำนมจากสัตว์ เช่น วัว ควาย แพะ หรือแกะ กระบวนการผลิตเนย เริ่มจากการนำน้ำนมไปเข้าเครื่องจักรเพื่อปั่นหรือเหวี่ยงด้วยความเร็วสูง เมื่อเหวี่ยงจนได้ที่จะได้วัตถุดิบออกมา 2 ชนิด คือ บัตเตอร์มิลค์ เป็นส่วนของน้ำสีขาวขุ่น และเนย เป็นส่วนของก้อนไขมันสีเหลืองๆ ซึ่งก็คือเนยแท้ หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘เนยสด’ นั่นเอง
milk
นม หรือ น้ำนม (Milk) คือ ของเหลวสีขาวที่มีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กหรือสัตว์เกิดใหม่ ที่ผลิตออกมาจากเต้านมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อาทิเช่น มนุษย์ วัว แพะ แกะ ควาย ม้า ลา อูฐ จามรี เรีนเดียร์ ลามา แมวน้ำ และยังรวมไปถึงเครื่องดื่มที่ใช้แทนนมด้วย เช่น นมถั่วเหลือง น้ำนมข้าว นมข้าวโพด นมแอลมอนด์เป็นต้น



image_pdfดาวน์โหลดไฟล์ PDF