เบเกิลสไตล์นิวยอร์ก New York City Bagels

image_pdfดาวน์โหลดไฟล์ PDF




เบเกิลสไตล์นิวยอร์ก

เบเกิลสไตล์นิวยอร์ก New York City Bagels

เบเกิลสไตล์นิวยอร์ก New York City Bagels | แอดซูเฟล่จะชวนเปิดตำราทำเมนูสไตล์สไตล์อเมริกัน ซึ่งแอดซูเฟล่ลองทำมาแล้วอร่อยมากๆเลยค่ะ อยากแชร์สูตรเลย นั่นคือเบเกิลสไตล์นิวยอร์ก ใครได้ชิมต้องพากันหลงรัก สูตรดั้งเดิมสำหรับ New York City Bagels ดัดแปลงจาก SeriousEatsเพื่อนๆสามารถ เปิดสูตรและทำตามได้เลยค่ะ ความอร่อยระดับมิชิลินสตาร์ แต่ความยากระดับบ้านๆ พูดไปแล้วท้องก็ร้อง ไปลุยกันเลยค่ะ มาทำเบเกิลสไตล์นิวยอร์กกัน ไปเปิดตำนานความอร่อยกันค่ะ มาค่ะ ดาวน์โหลดสูตร มือขวาควงตะหลิว มือซ้ายจับกระทะ สาวเท้าก้าวเข้าครัวไปกับเมนูเบเกิลสไตล์นิวยอร์กกันเลยค่ะ




สูตรเบเกิลสไตล์นิวยอร์ก
– สำหรับยูโคเน่
น้ำเย็น 170 กรัม
แป้งขนมปัง 100 กรัม
– สำหรับแป้ง
แป้งขนมปัง 355g
น้ำตาล 15 กรัม
เกลือป่น 9 กรัม
ยีสต์แห้งทันที 4 กรัม
น้ำ 100 กรัม
– สำหรับส่วนของเหลว
น้ำเชื่อมมอลต์ข้าวบาร์เลย์ 30 กรัม
น้ำลึก3นิ้ว



วิธีทำเบเกิลสไตล์นิวยอร์ก
โรยแป้งและน้ำบนไฟร้อนปานกลางเป็นเวลาสองนาที จนได้เป็นก้อนหนา
ย้ายไปยังจานขนาดใหญ่ แล้วกระจายเป็นชั้นหนา 1 นิ้ว ปิดฝาและรอประมาณ 30 นาทีจนเย็นถึง 23°C
ใส่แป้ง น้ำตาล เกลือ และยีสต์ทันทีในเครื่องเตรียมอาหารที่มีใบมีดโลหะ ปั่นให้เข้ากัน จากนั้นใส่ยูโคเนะเย็นและน้ำ แล้วหมักเป็นเวลา 90 วินาทีจนได้แป้งที่เนียน
วางแป้งบนท็อปครัวที่สะอาด แล้วแบ่งเป็นแปดชิ้น
ปั้นแป้งแต่ละชิ้นโดยใช้ฝ่ามือคลึงจนแป้งเป็นก้อนกลมๆ แทบไม่มีรอยต่อ
เมื่อเพื่อนๆได้แป้งโดทั้งหมดแล้ว ให้คลุมด้วยพลาสติกแล้วพักไว้ 15 นาที
ทำรูในก้อนแป้งแต่ละก้อนโดยเจาะด้วยนิ้วชุบน้ำหมาดๆ จากนั้นยืดให้เป็นวงแหวนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 1/4 นิ้ว จับแป้งด้วยมือที่เปียกชื้นเพื่อป้องกันการเกาะติด
ปูกระดาษรองอบ ลงในถาดอบ แล้วทาน้ำมันให้ทั่ว
จัดเรียงเบเกิลบนถาดอบ ปิดด้วยฟิล์ม แล้วเก็บในตู้เย็นเป็นเวลา 24-36 ชั่วโมง
วางแร็คไว้ตรงกลางด้านล่างของเตาอบ จากนั้นตั้งเตาอบให้อุ่นที่ 218°C
เติมน้ำ 3 นิ้วลงในหม้อสแตนเลส แล้วเติมมอลต์ นำไปตั้งบนไฟแรงแล้วต้มให้เดือด
ในระหว่างนี้ ให้วางถาดอบหนึ่งถาดด้วยกระดาษชำระหลายชั้น (ชั้นของกระดาษเช็ดมือควรหนา) และถาดอบอีกถาดหนึ่งด้วยกระดาษรองอบ
ลวกเบเกิลเป็นชุดๆ ครั้งละสองถึงสามครั้ง เป็นเวลา 30 วินาทีต่อข้าง วางเบเกิลลวกบนกระดาษทำครัวก่อนแล้วจึงวางบนถาดอบ
อบ 25 นาที; 18 หากเพื่อนๆต้องการใช้เป็นขนมปังแซนวิช
เมื่ออบแล้ว ปล่อยให้เย็นเป็นเวลา 15 นาที แล้วใช้มีดฟันปลาผ่าครึ่งตามยาว
หากเสิร์ฟในภายหลัง ให้ปล่อยทิ้งไว้ทั้งหมด เก็บไว้ในถุงกระดาษหรือห่อด้วยกระดาษรองอบ นานถึง 48 ชั่วโมง เมื่อพร้อมเสิร์ฟ หั่นและปิ้ง ทานให้อร่อยนะคะ

 





baanbakery banner

ขอขอบคุณข้อมูล – https://www.tasteatlas.com/bagels/recipe

ประวัติเบเกิลสไตล์นิวยอร์ก

ตามตำนานกล่าวไว้ว่า เบเกิลถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี 1683 เพื่อเป็นเกียรติแก่ John III Sobieski กษัตริย์โปแลนด์ที่รับผิดชอบในการกอบกู้เวียนนาจากการยึดครองของตุรกี อย่างไรก็ตาม แม้จะน่ายินดี แต่ตำนานนี้ถือเป็นเรื่องสมมติ เนื่องจากไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับเบเกิลในคราคูฟตั้งแต่ช่วงปี 1610 เท่านั้น แต่ยังมีขนมปังที่ดูคล้าย obwarzanek ในโปแลนด์ตั้งแต่อย่างน้อยปี 1394 วิธีการที่เบเกิลเกี่ยวข้องกับชาวยิวเป็นหลักเป็นเรื่องราวในตัวเอง แม้ว่าในยุโรปยุคกลางส่วนใหญ่ ชาวยิวจะถูกห้ามไม่ให้ทำขนมปังและขายขนมปัง ในโปแลนด์ สิ่งต่างๆ เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ประการแรก ในปี 1264 ชาวยิวได้รับสิทธิ์ในการอบและขายขนมปังโดยดยุกแห่งมหานครโปแลนด์ Bolesław the Pious อย่างไรก็ตาม คริสตจักรได้สั่งห้ามคริสเตียนไม่ให้ซื้อขนมปังจากชาวยิวอย่างรวดเร็ว โดยอ้างว่าขนมปังนั้นวางยาพิษ ในที่สุด ชาวยิวในโปแลนด์ก็มีสิทธิขายขนมปังต้มแทน ซึ่งทำให้แตกต่างจากขนมปังที่คริสเตียนขาย ดังนั้น นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เบเกิลกลายเป็นของชาวยิวอย่างเด่นชัด และชาวยิวจำนวนมากหันไปขายเบเกิลตามท้องถนนเมื่อเงินตึงตัว เบเกิลมาถึงสหรัฐอเมริกาพร้อมกับผู้อพยพชาวยุโรปตะวันออก แต่ไม่ได้ออกจากชุมชนชาวยิวไปสู่ประชากรทั่วไปจนถึงปี 1970 ส่วนใหญ่ต้องขอบคุณการประดิษฐ์เบเกิลแช่แข็งในปี 2503 ซึ่งทำให้เบเกิลสามารถไปถึงทุกมุมของประเทศได้


วัตถุดิบเบเกิลสไตล์นิวยอร์ก
bread
ขนมปัง (Bread) เป็นอาหารที่ทำจากแป้งสาลีที่ผสมกับน้ำและยีสต์ หรือผงฟู นอกจากนี้ยังมีการใช้ส่วนผสมอื่น ๆ เพื่อแต่งสี รสชาติและกลิ่น แตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของขนมปัง และ แต่ละประเทศที่ทำ โดยนำส่วนผสมมาตีให้เข้ากันและนำไปอบ ขนมปังมีหลายประเภท เช่น ขนมปังฝรั่งเศส ขนมปังไรย์ หรือแม้กระทั่งเพรตเซิล ของขึ้นชื่อประเทศเยอรมนี
sugar
น้ำตาล (Sugar) คือ สารประกอบคาร์โบไฮเดรตประเภทโมโนแซ็กคาไรด์ (monosaccharide) และไดแซ็กคาไรด์ (disaccharide) ซึ่งมีรสหวาน โดยทั่วไปจะได้มากจากอ้อย มะพร้าว แต่โดยทั่วไปแล้วจะเรียกอาหารที่มีรสหวานว่าน้ำตาลแทบทั้งสิ้น เช่น ทำมาจากตาลจะเรียกว่าตาลโตนด ทำมาจากมะพร้าวจะเรียกว่าน้ำตาลมะพร้าว ทำมาจากงวงจากจะเรียกว่าน้ำตาลจาก ทำมาจากงบจะเรียกว่าน้ำตาลงบ ทำมาจากอ้อยแต่ยังไม่ได้ทำเป็นน้ำตาลทรายจะเรียกว่าน้ำตาลทรายดิบ ถ้านำมาทำเป็นเม็ดจะเรียกว่าน้ำตาลทราย หรือถ้านำมาทำเป็นก้อนแข็งคล้ายกรวดจะเรียกว่าน้ำตาลกรวด ฯลฯ
salt
เกลือ (Salt) หรือเกลือโซเดียมนั้นมีแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็อาจส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ดังนี้ ป้องกันภาวะความดันโลหิตต่ำ,ป้องกันภาวะขาดน้ำ และป้องกันการขาดไอโอดีน แต่ต้องรับประทานในขนาดที่เหมาะสมต่อวันมิเช่นนั้นจะเดิดโทษต่อร่างกาย มากกว่าได้ประโยชน์
yeast
ยีสต์ (Yeast) คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถเติบโตได้โดยการย่อยอาหาร และยีสต์คือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการหมัก (Fermentation) ดังนั้นเมื่อเราอบขนมปังที่มีการใส่ยีสต์เป็นส่วนผสมลงไป ยีสต์จะหมักน้ำตาลในแป้ง และปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา เนื่องจากแป้งมีความยืดหยุ่นสูง ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์จึงไม่สามารถหลบหนีได้ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จึงทำให้เกิดการขยายตัว หรือทำให้แป้งพองตัวมีขนาดขยายใหญ่
syrup
ไซรัป (Syrup) หรือที่รู้จักในภาษาไทยว่า “น้ำเชื่อมหรือยาน้ำเชื่อม” คือสารให้ความหวานผลิตจากกธรรมชาติที่นำมาปรุงแต่งและผ่านกรรมวิธีต่างๆ เพื่อให้ได้ออกมาเป็นสิ่งที่สามารถรับประทานได้ ส่วนประกอบหลักของไซรัปจะมีน้ำตาลกลูโครสอยู่ หรืออาจมีสารให้ความหวานอื่นๆ ประกอบอยู่ด้วย
barley malt syrup
มอลต์ (อังกฤษ: malt) ได้มาจากข้าวบาเลย์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นธัญพืชที่นิยมปลูกในประเทศ ที่มีภูมิอากาศเย็น จะมีการปลูกกันมาก ในประเทศทางทวีปยุโรป เช่น เยอรมนี ออสเตรีย อังกฤษ เดนมาร์ก และทวีปออสเตรเลีย ส่วนในประเทศไทยมีการนำสายพันธุ์ข้าวบาร์เลย์เข้ามาปลูกในแถบภาคเหนือ ซึ่งมีภูมิอากาศเย็น ข้าวมอลต์ มีรสชาติ สี และกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นที่นิยมของผู้บริโภคและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงซึ่งเกิดจากสารอาหารชนิดต่าง ๆ ที่สร้างสะสมอยู่ในเมล็ดข้าวระหว่างการงอก ข้าวมอลต์สามารถจำหน่ายในรูปข้าวกล้องมอลต์ พร้อมหุงรับประทานหรือนำไปใช้เป็นวัตถุดิบผลิตผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ[1] อาทิ เบียร์ วิสกี้ โจ๊กข้าวมอลต์ ผงชงดื่มเพื่อสุขภาพ เครื่องดื่มมอลต์ สกัดเข้มข้น น้ำมอลต์สกัด เป็นต้น
barley
ข้าวบาร์เลย์ หรือบาร์เลย์ (Barley) คือธัญพืชชนิดหนึ่ง เมื่อสุกจะมีรสสัมผัสเหนียวนุ่ม และมีรสชาติออกมันเล็กน้อย คนนิยมรับประทานเป็นอาหาร โดยเฉพาะในแถบประเทศอเมริกา นอกจากนี้บางส่วนก็อาจนำข้าวบาร์เลย์มาทำเป็นยา หรือเป็นส่วนประกอบหนึ่งในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีกด้วย ข้าวบาร์เลย์นั้นเชื่อกันว่ามีสรรพคุณที่สามารถในการรักษาโรคหัวใจและคอเลสเตอรอลสูง อีกทั้งยังอาจสามารถช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือแม้กระทั่งโรคมะเร็งอีกด้วย



image_pdfดาวน์โหลดไฟล์ PDF